เทศน์เช้า

ประสบการณ์ตรง

๒๖ ก.พ. ๒๕๔๓

 

ประสบการณ์ตรง
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

เทศน์เช้า วันที่ ๒๖ กุมภาพันธ์ ๒๕๔๓
ณ วัดสันติธรรมาราม ต.คลองตาคต อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

ให้ไปหาประสบการณ์ไง ให้ไปหาประสบการณ์ เพราะว่าเราเชื่อเรื่องศาสนา ความศรัทธาความเชื่อ ศรัทธาเชื่อเรื่องศาสนานะ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ศาสนธรรม หลักจริงๆ คือ ศาสนธรรม แต่เข้าถึงยากที่สุดเพราะว่ามันเป็นนามธรรม มันเป็นนามธรรมนะ

เวลาพระพุทธเจ้ากราบธรรมนี่ซึ้งมาก เวลาพระพุทธเจ้ายังกราบอยู่? เรากราบพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ พระพุทธเจ้าเวลากราบพระ พระก็ถามพระพุทธเจ้าว่า “กราบอะไร?”

“กราบธรรมที่เข้าไปรู้”

เพราะมันทึ่งไง มันทึ่ง มันแปลกประหลาดมหัศจรรย์ มหัศจรรย์ตรงนี้ไง ตรงที่ว่าศาสนธรรมนี่เป็นคำสั่งสอน เป็นที่เราเข้าถึงธรรม ผู้ใดถึงธรรม เห็นไหม “ผู้ใดปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม” นี่เรายังเข้าไม่ถึงใช่ไหม?

นี่ความเชื่อความศรัทธามันเริ่มจากตรงนั้น ความศรัทธาความเชื่อ เชื่อในธรรมไง พระพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรม พระอรหันต์สาวกต่างๆ ก็เข้าถึงธรรม ถึงจะดัดแปลงตนเข้าถึงธรรมได้ เห็นไหม มันกำจัดกิเลสได้จริง

การกำจัดกิเลสได้จริงมันทึ่งตัวเองไง มันทึ่งที่ว่าคิดดูว่าเรากังวล เราทุกๆ อย่าง แล้วมันหลุดออกไปจากใจ มันหลุดออกไปจากใจ มันหลุดออกไปอย่างนั้นจริงๆ เห็นไหม ถึงว่ามันเป็นประสบการณ์ตรงของผู้ที่ปฏิบัติ

ฉะนั้น เวลาพระเรามาปฏิบัติ พอเข้ามาปฏิบัติ มันยังประสบการณ์ต่างๆ บางทีแบบว่าอ่อนอกอ่อนใจ การประพฤติปฏิบัติไม่เต็มที่ เราถึงให้ออกไปหาประสบการณ์ เห็นไหม ประสบการณ์ในหมู่คณะ

“ธรรมและวินัย” ในการจัดงานต่างๆ มันต้องมีพิธีกรรมต่างๆ เห็นไหม นั่นคือวินัย ธรรมและวินัยถึงว่าเป็นตัวองค์ของศาสดา จะเข้าถึงธรรมก่อนก็ต้องมีวินัย มีเครื่องกำจัดเข้าไปหาถึงธรรม นี่ก็เหมือนกัน ทำบุญกุศล อยากมีบุญกุศลก็ต้องขวนขวายต้องใส่บาตร เห็นไหม เป็นทาน ศีล ภาวนา นี่มันการดัดแปลง กฎระเบียบที่จะเข้าไปถึงธรรม

ถ้าไม่มีกฎระเบียบมันก็ไม่มีช่องทางเข้า ฟังนะ! ช่องทางเข้าเฉยๆ เห็นไหม ช่องทางเข้า พอมีช่องทางแล้วถึงมีเครื่องมือเข้าไปอีก มีเครื่องมือ มีช่องทางเข้าไป เห็นช่องทางนำแล้วต้องเข้าไปหา เห็นไหม ศีล สมาธิ ปัญญา เห็นไหม สมาธินี่มันเป็นเครื่องมือเข้าไป สมาธิให้ใจสงบแล้วมีเครื่องมือเข้าไป

การถึงธรรมด้วยการประสบการณ์ตรง เห็นไหม ประสบการณ์จริงๆ ของแต่ละบุคคลที่จะเข้าไปถึงธรรมอันนี้ มันแสนที่ว่ามันแสนยากเพราะกิเลสมันบังคับ ถึงว่าแสนยากจนพวกเราไม่มีกำลังใจก็ไม่ได้ มันเป็นความสุขจริง เป็นธรรมที่ประเสริฐที่สุด มันเป็นความสุขจริง แต่ยังเข้าไม่ถึงนี่ เราเข้าไปเทียบเคียง เห็นไหม ผลข้างเคียงเราก็มีความสุขลงไป

นี่บุญกุศลเป็นผลข้างเคียง เพราะเป็นวัตถุเป็นอริยทรัพย์ อริยทรัพย์...ทรัพย์ที่เป็นนามธรรม เป็นอยู่ที่ฝังไว้ในหัวใจ เคียงคู่ไปกับใจ เห็นไหม เป็นอริยทรัพย์หมายถึงว่าตกน้ำไม่ไหล ตกไฟไม่ไหม้ ถึงเป็นอริยทรัพย์ ทรัพย์ในโลกนี้ ทองคำโดนไฟหลอมมันก็ยังแปรสภาพได้ เพชรนิลจินดาโดนไฟโดนอะไรมันก็ยังแปรสภาพ แล้วการแลกเปลี่ยนมันก็แปรสภาพไป มันถึงว่ามันเป็นอนิจจังไม่แน่นอน

อริยทรัพย์นี้มันฝังไปกับใจ ตกน้ำไม่ไหล ตกไฟไม่ไหม้ แต่มันก็เป็นเคียงคู่ไปเฉยๆ เคียงคู่ไปเพราะมีของเคียงคู่ นั่นคือเป็นว่าเครื่องมือมีเคียงคู่เข้าไป มีความศรัทธา ใครพูดเล็กๆ น้อยๆ มันสะเทือนใจนะ เพราะหัวใจมันไม่หยาบเหมือนทีแรก มันบางลงๆ

ความบางลงนะ เห็นเขาทำก็คิดว่ามีเหตุผลอะไร มันก็อยากจะทำตามอันนั้น ทำตามอันนั้นเข้าไป นั่นน่ะเครื่องมือเข้าไป เครื่องมือเข้าไปถึงธรรมจริง นั้นประสบการณ์ตรงมันเป็นแบบนั้น เป็นที่ใจมันสัมผัสเอง พอใจมันสัมผัสไม่ได้เราก็หาเอาข้างนอก ไปประสบการณ์ข้างนอกไปก่อนๆ ประสบการณ์ไป ประสบการณ์ไปมันถึงจะประสบการณ์ตรง ประสบการณ์ตรงคือว่าจริงๆ แล้วมันต้องประสบการณ์ในหัวใจ มันไม่ต้องไปประสบการณ์ข้างนอกหรอก ธรรมและวินัยเป็นล้อมกรอบเข้ามา เห็นไหม แต่ก็ต้องอาศัย อย่างอาจารย์บอก “ไปธุดงค์ๆ หาธรรมๆ นะ เดินไปธรรมอยู่ไหน? ธรรมอยู่ไหน? สุดท้ายแล้วก็ธรรมอยู่ที่หัวใจ”

นี่ก็เหมือนกัน เพชรอยู่ที่หน้าผาก เพชรมันจะอยู่ได้มันต้องมีใจไง ใจนี้เป็นเพชรไง ถ้าไม่มีภาชนะใส่ธรรม เอาอะไรไปใส่ธรรม? ความสัมผัสธรรมเอาอะไรไปสัมผัสธรรม? ก็หัวใจทั้งนั้น

ทีนี้หัวใจมันอยู่กับตัวเราเอง มันอยู่เฉยๆ มันเหมือนกับน้ำนิ่ง น้ำมันเน่า พอน้ำเน่าไม่มีออกซิเจน ไม่มีอะไรเลย นี่ประสบการณ์ออกไป ธุดงค์ออกไป การหมุนออกไป เห็นไหม ให้น้ำมันเคลื่อนตัวเอง มันจะทำให้น้ำมันสะอาดขึ้นมา จากน้ำเน่าไง น้ำเน่าเป็นน้ำสะอาด นี่ประสบการณ์ข้างนอก แต่ถ้าประสบการณ์ตรงแล้วมันต้องหาในใจของตัว

อันนี้ถึงว่าอันนั้นก็เป็นเครื่องดำเนิน เห็นไหม ถ้าว่ามันเป็นความที่ว่าเป็นการเหนื่อยยากก็เป็นการเหนื่อยยาก แต่เป็นวิธีการอันหนึ่งที่ว่าเริ่มจะก้าวเดิน มันต้องมีอันนั้นออกไป นี่ประสบการณ์ข้างนอก

ข้าศึกสมมุติ เห็นไหม เวลาออกสงครามกัน ก่อนที่เขาจะให้ทหารออกสงคราม เขาต้องฝึกก่อน ข้าศึกสมมุติ เห็นไหม ยิงก็ไม่ตาย จะรบกันก็รบกันในสมมุติๆ หลอกๆ กัน

นี่ก็เหมือนกัน มันเป็นสมมุติ โลกนี้เป็นสมมุติอยู่ แต่เวลาเจอข้าศึกจริงๆ มันยิงตายนะ นี่ก็เหมือนกัน ใจเราเวลาเราคิดอยากจะทำคุณงามความดีหรืออะไร มันปฏิเสธทีเดียวนี่ตายเลย มันปฏิเสธว่าสิ่งนั้นทำไม่ได้ สิ่งนั้นยังไม่สมควรทำ เวลาเจอกิเลสตรงๆ สู้ไม่ได้ แต่ถ้าไปประสบการณ์ข้างนอกนะ สมมุติได้ สมมุติว่าอย่างนั้นๆ นี่สมมุติ นี่เราคิดไง คิดถึงคนอื่นไง คิดถึงเรื่องของคนอื่น คิดถึงว่าควรทำอย่างนั้นทำไมเขาทำได้? ทำไมเราทำไม่ได้? คิดถึงคนอื่น เห็นไหม ข้าศึกสมมุติทั้งนั้นเลย

นี่สมมุติขึ้นมา นี่ใจต้องปรุงขึ้นมาอันนี้ก่อน ปรุงขึ้นมา มันคิดเองมันก็เป็นปรุงขึ้นมาเหมือนกัน นี่เป็นอาการของใจ แล้วมันจะละเอียดเข้าไปๆ จนอาการของใจมันแยกแยะอาการของใจได้ เห็นไหม อาการของใจแยกแยะออกทั้งหมดเลย นั้นก็เป็นข้าศึกสมมุติอีก เพราะว่าอาการของใจมันมีอยู่โดยธรรมชาติของมัน แต่เพราะตัวกิเลสเข้าไปเชื่อมใจตัวนั้น เข้าไปให้มันเกาะเกี่ยว เห็นไหม ความยึดมั่นถือมั่น อุปาทาน มันอุปาทานออกมา

แต่ถ้าคนไม่มีอุปาทานขึ้นมา จริงๆ ตามความเป็นจริงแล้วอยู่ไหน? กิเลสอยู่ไหน? กิเลสมันก็นอนเนื่องอยู่ในความคิดนั้น ก็ย้อนกลับเข้าไป เพราะว่าความคิดบางทีคิดดี คิดไม่ดี เห็นไหม ความคิดดีกับความคิดไม่ดีมันก็แยกได้ นี้แยกได้เข้าไป ความคิดดีกับความคิดไม่ดี เห็นไหม กิเลสมันก็ยังว่าข้ามพ้นทั้งดีและชั่ว ความเป็นดีมันก็ติดดี ติดแล้วมันก็ปล่อยไปไม่ได้ วิปัสสนาไปพอเห็นเข้า ยึดเป็นของเราๆ เป็นของเราไม่ได้ เป็นของเราไม่ได้ ถ้าวัตถุทั้งโลกเป็นของเรานะ สรรพสิ่งทั้งโลกนี่เป็นสมมุติหรือเป็นวัตถุ เราเอาขึ้นมากองไว้ในบ้านในเรือนจะเป็นของเรามหาศาลเลย แต่ยิ่งมีเท่าไหร่มันก็ยิ่งเป็นภาระรับผิดชอบ

ความคิดเวลาคิดขึ้นมา วิปัสสนาขึ้นมาเป็นครั้งๆ ขึ้นไป มันจะมีความคิดขึ้นมาดีมากเลย แล้วเราก็ห่วงอันนี้ ว่าอันนี้พอคิดอย่างนี้ว่าทำไมมันปล่อยวางได้ วันหลังจะคิดอันนี้อีก เห็นไหม นี่มันเป็นสัญญา พอเป็นสัญญา กิเลสมันก็หลอกได้ ทั้งๆ ที่ความคิดอันที่เมื่อก่อนมันคิดดี เห็นไหม เมื่อก่อนมันคิดอันนี้ดีแล้วมันปล่อยวางได้ ทำไมคิดซ้ำไม่ได้ล่ะ?

ถึงบอกความคิดนี่คิดดีหรือคิดไม่ดีมันก็เป็นอาการ เห็นไหม กิเลสมันอาศัยอยู่มาในอาการอันนั้น อาการที่คิดดีหรือคิดไม่ดี ถึงต้องให้เป็นปัจจุบัน เพราะมันคิดดีนี่มันไม่ทัน ส่วนมากเวลาคิดขึ้นมามันดีมันจะปล่อยวาง มันจะปล่อย ปล่อยเพราะอะไร? เพราะกิเลสไม่รู้ตัว ประสบการณ์ตรงเป็นปัจจุบันธรรม มันเป็นปัจจุบันเดี๋ยวนั้นไง

ข้าศึกจริงๆ มันต้องเป็นปัจจุบันเดี๋ยวนั้น มันออกมาเดี๋ยวนั้นแล้วสู้กันเดี๋ยวนั้น แต่ถ้าเคลื่อนไปเป็นสมมุติ กาลเวลาไง อดีตอนาคตนี่เป็นสมมุติ เรารู้ตามอดีตอนาคตไป มันไม่เป็นปัจจุบันธรรม มันไม่เจอของจริง เห็นไหม ประสบการณ์ในใจของตัวมันก็จะขึ้นมาอย่างนั้น ประสบการณ์เข้าไป ประสบการณ์เข้าไป

นี่ธรรมที่ว่าเข้าได้ยาก แต่เราก็ขวนขวายกัน คนขวนขวายมากได้มาก คนขวนขวายน้อยได้น้อย คนขวนขวายนะ การขวนขวายนี้เราเป็นคนทำ มีจากเจตนาของเราขึ้นมา เจตนาของเรา เห็นไหม ถึงว่าทุกอย่างก็ขึ้นมาจากเรา เกิดจากเรา เราเป็นคนทำ แล้วก็เราเป็นได้ประโยชน์ด้วย เอวัง